วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

TIP: Chiang Mai-Phrae-Nan-phitsanulok-Taphanhit


12.30
เริ่มออกเดินทางจากคณะโดยรถแดงไปยังอาเขต
13.00
แต่ดันมาติดแหงกเพราะรถเต็ม

14.28
นั่งอ่านหนังสือที่ร้านเพื่อน Book cafe
"ผลจากการไม่วางแผนในการเดินทางคือความผิดหวัง หากเลือกที่คิดจะเดินทางอย่างไรการวางแผน
แล้วก็ไม่ควรคำนึงเรื่องเวลา แล้วใช้เวลาตรงนั้นละเลมสิ่งรอบตัว"

16.00
รถออกแต่ปลายทางได้แค่ครึ่งทางของจุดหมาย นั้นคือ เด่นชัย
17.45
ถึงขนส่งลำปาง นานได้ใจมากๆ
18.26
รถโดนตำรวจค้น ตามระเบียบ
19.30
ถึงแยกเด่นชัย งานเข้าไม่มีรถเข้าตัวเมืองแพร่ เดินตุเรงๆ เจอลุงวินมอเตอร์ไซต์ เด่นทัพชัยเสื้อเบอร์ 7
การนั่งมอเตอร์ไซต์ฝ่าลมหนาว เงยหน้ามองฟ้าก็พบว่าดาวกระจายว่างไสวเต็มท้องฟ้า และอยากจะบอกว่า
"แพร่หนาวมาก"

20.30
ขึ้นรถจากขนส่งแพร่สู่ปลายทางของวันนี้คืออำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน

21.52
ถึงขนส่งอำเภอเวียงสา ตลอดทางมามีหมอกตลอดข้างทาง อากาศหนาวจับใจ และนอนที่การไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาคอำเภอเวียงสา ข้าวมื้อเย้นและสิ่งที่แปลกตาคือคอนโดนก ที่มีนกเกาะสายไฟนอนหลับ
เรียงราย

07.15
เตรียมตัวออกเดินทางเข้าเมืองน่าน หมอกเต็มพื้นที่อากาศหนาวจับใจ และแวะทานข้าวเช้าเป็น
ข้าวมันไก่ ต้มเลือดหมู

08.49
กาแฟร้อนแล้วแรกของวันและแก้วแรกของน่าน และบบรยากาศตลอดทางว่า 20 กว่ากิโลเมตร
ยังคงเต็มไปด้วยหมอกตลอดทาง

09.30
หาข้อมูลต่างๆ ของเมืองน่านเมืองหมอก แวะมาอัพเดตชีวิตออนไลน์ที่ร้านกาแฟคุ้มพ่อหลวง
10.30
ขึ้นรถรางเที่ยวรอบตัวเมืองน่าน และได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณอาซึ่งเป็นคนในพื้นที่เมืองน่าน
ถึงวิถีชีวิตของคนน่าน
11.53
หอศิลป์ริมน่าน
13.02
ถึงอำเภอปัวแล้ว แต่ไหนอ่ะที่เที่ยว งง และหลงปัวอ่ะ
14.19
ถึงเวียงสาเตรียมตัวกลับพิษณุโลก
14.47
แวะร้านกาแฟหอมกลิ่นกาแฟสดเด่นชัย
15.30
นั่งรถตู้ไปแพร่เพื่อต่อรถเข้าพิษณุโลก

17.06
ถึงขนส่งแพร่อย่างสภาพผะอืดผะอม บอกได้ตำเดียวว่า "อยากอ๊วก"
17.30
นั่งรถลงไปพิษณุโลก
22.00
ถึงพิษณุโลก เข้าโรงแรมนอน เหนื่อยชะมัด

09.30
นั่งรถกลับถึงตะพานหิน โดยแวะดื่มกาแฟ Amazon ก่อนจะกลับถึงบ้านที่ตะพานหิน

จบการเดินทาง

เรื่องและภาพประกอบ : cherishmoon

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Deep Inside Myself

เมื่อไร


เสียงกรี้ดร้อง ดังก้อง ในห้องเล็กๆ ฉันล้มตัวลงนอนกองกับพื้น
สิ่งของภายในห้องกระจัดกระจาย ฉันเอื้อมหยีบเศษกระจก

แล้วบรรจงกรีดลงบนผิวหนัง และกดแรงลงลึกถึงบริเวณหัวใจ

น้ำตาไหลมิใช่จากอาการเจ็บจากแผล แต่เป็นความเสียใจ

จากสิ่งที่เรียกว่า "รัก" ใครจะรู้บ้างว่า ฉันทำไมต้องเป็นอย่างนี้

ทนทุกข์ทรมานกับความทรงจำอันแสนเลวร้าย ...


เมื่อไรกัน ที่ฉันจะหายไปจากโลกที่แสนปวดร้าวตรงนี้ เมื่อไรกัน เมื่อไร



ลาก่อน


ฉันใช่มีดกระหน่ำแทงร่างที่อยู่ตรงหน้า ด้วยอาการบ้าคลั้งขาดสติ

ห้องที่เต็มด้วยเลือดกระเซนแดงฉาน ใบหน้าของฉันเปรอะด้วยเลือด

และน้ำตาอาบไหลรินสองแก้ม เบ้าตาที่แดงกล่ำและเชอะแชะด้วยน้ำตา

ฉันเสียใจกับสิ่งที่กำลังกระทำอยู่

แต่ไม่อาจต้านทานแรงแค้นมันมีเหนือยิ่งมากกว่า

ครั้งสุดท้ายฉันทิ่มแทงสุดกำลังตรงกลางหัวใจ

จากนั้นฉันก็โซซัดโซเซหลังพิงผนัง

ร่างกายเริ่มทรุดตัวลงทรุดนั่ง ในตาเมอลอยและพร่ามัว

เปลือกตาค่อยปิดลงอย่างช้าๆ

แล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนอย่างไม่มีวันที่จะตื่นขึ้นมาอีก

ฉันมาถึงจุดสุดท้ายของฉันแล้ว

ลาก่อน โลกที่โหดร้าย ลาก่อน ความทรงจำที่ขมขืน

ลาก่อน ความรักที่หลอกลวง ลาก่อน


เรื่องและภาพประกอบ : cherishmoon

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Wonderful tonight : ค่ำคืนที่มิอาจลืม



เสียงเพลงแผ่วเบาที่คล้อยตามสายลมมาเสมือนเสียงกระซิบของธรรมชาติ

Wonderful tonight บทเพลงนี้ที่คุ้นหู มันเป็นเพลงของนักกีตาร์ชื่อก้องโลก

Eric Clapton เนินนานเสียจริงๆ ที่ไม่ได้ยินบทเพลงนี้


ผมหยุดยืนแล้วหลับตาลงสักครู่เพื่อระลึกความทรงจำเกี่ยวกับบทเพลงนี้

มันมีบรรยากาศที่หนาวเย็นในฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคม แบบวันนี้

ไม่นานนัก ผมก็ลืมตา มันเป็นวันที่ผมขอผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงาน

จากนั้นผมเดินตามเสียงเพลงนั้นไป เหมือนร่างกายถูกสะกดด้วยมนต์เสน่ห์

ของบทเพลง เลียงเพลงนั้นดังมาจากในร้านกาแฟเล็กๆ ผมยังจำใบหน้า

ที่อาบไปด้วยน้ำตาด้วยความดีใจ ในถ้อยคำที่ผมบอกเธอ รอยยิ้มของเธอ ริมฝี

ปากสีชมพูอ่อน แล้วรอยจุมพิตยังคงตราตรึงในห้วงแห่งความทรงจำของผม

ผมเดินผ่านร้านกาแฟนั้นไป โดยยังมีเสียงของบทเพลง Wonderful tonight

ลอยตามมาอยู่ ผมตรงไปที่ร้านดอกไม้ สั่งดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่

ผมรู้ว่าเธอชอบ เธอเคยบอกว่ากุหลาบขาวเปรียบเสมือนความรักที่บริสุทธิ์

ซึ่งนั้นก็คือความรักที่ฉันให้คุณเสมอ และมันไม่มีเหตุผลใด

ที่ผมจะไม่เอาไปให้เธอในวันนี้


จากบทเพลงที่ได้ยินทำให้ผมมีความคิดที่จะทำให้วันแห่งความทรงดีๆ

วันนั้นกลับมา เพื่อให้เธอรู้ไว้ว่า ผมยังคงรักเธอเสมอ ผมไม่รีรอที่จะมุ่งหน้า

เดินตรงไปยังร้านขายกีตาร์ ผมหยุดอยู่ที่หน้าร้านเพราะ

สะดุดตากีตาร์สีขาวตัวหนึ่ง ผมคิดว่าตัวนี้ล่ะ เพราะนั้นจะแทนเสียงของความรัก

ที่บริสุทธิ์ของผมที่มีต่อเธอ ผมจะเล่นให้เธอฟัง เพื่อบอกเธอว่าผมรักเธอ

ผมหยุดลงตรงหน้าเธอแล้วบรรจงว่างช่อดอกกุหลาบสีขาวที่เธอชอบ

คุณชอบไหมที่รัก ผมเอามาให้คุณเหมือนทุกครั้ง แต่วันนี้ผมมีพิเศษกว่านั้น

ผมมีบทเพลงที่เราคุ้นเคยกันดีมาเล่นให้คุณฟังด้วย

ผมหวังว่าคุณก็คงยังไม่ลืมเช่นกันจากนั้นก็เริ่มบรรเลง


It's late in the evening
She's wondering what clothes to wear
She puts on her make-up and brushes her long brown hair

And then she asks me do I look alright
And I say yes, you look wonderful tonight

We go to a party(We go out)
And everyone turns to see
This beautiful lady (beautiful lady)

who's walking around with me

And then she asks me do I feel alright
And I say yes, I feel wonderful tonight

I feel wonderful because

I see the love that's right in your eyes.
And the wonder of it all is that you just don't

realise how much I love you

It's time to go home now' yes it is
And I've got an aching head
So I gave her the car keys
And she helped me in to bed

And then I tell her as I turn down the lights
I say darling you were wonderful tonight

You look wonderful,

you're everything I need and more
You look wonderful,

so beautiful tonight
You look wonderful,

you never leave me wanting more
You look wonderful, so beautiful tonight


น้ำตาลแห่งความสุขของผม

หลั่งไหลจากความดีใจที่ได้ทำเพื่อคุณที่รักของผม

แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ส่องผ่านสองเราเป็นเงายาว

อากาศที่หนาวเย็นนั้นไม่สามารถจะทำให้หัวใจของผม

ที่มีความรักอันบริสุทธิ์ของคุณอยู่ตลอดเวลา คุณรอผมนะ

แล้วผมจะมานอนเคียงข้างคุณที่สุสานแห่งนี้


“ Oh my darling you were wonderful tonight ”

ความรักมักยิ่งใหญ่สำหรับคนสองคนเมื่อ

ถ้าคนสองคนนั้นเถิดทูลความรักนั้น


เรื่องและภาพประกอบ : cherishmoon

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทะเล อิสระ และ ขอบเขต : Real Freedom

ฉันพุ่งกระโจนลงทะเล และดำดิ่งลงสู้ก้นทะเล

ที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ณ เวลานี้รอบตัวฉัน

ทุกอย่างมืดมิด ฉันลอยอยู่ใจกลางทะเลลึก
ความคิดที่ฟุ้งซ่านเริ่มหยุดนิ่ง

ความเหน็บหนาวที่รับรู้จากน้ำทะเลค่อยๆ จางหาย
ล่องลอย ไร้การควบคุม ปล่อยใจ ปล่อยกาย

ตามธรรมชาติของทะเล


ร่างกายที่เสมือนไร้วิญญาณ ก็โผล่ขึ้นบนผิวน้ำทะเล
ฉันลอยนิ่งมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า

ยามค่ำคืนที่สว่างไสวของดวงดาวนับล้านๆ

ทุกดวงต่างจ้องมองดูสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ชีวิตหนึ่ง

อย่างน่าขบขัน คงต่างพากันนินทากับการกระทำฉัน

เพราะฉันสังเกตุเห็นแสงกระพิบที่ดวงดาว

แต่ละดวงกระพิบส่งหากัน มันไม่ต่างอะไรกับรหัสมอส

ที่เราเคยใช้ในโลกใบนี้


และแล้วร่างของฉันก็จมดิ่งลงสู้ก้นบึ้งของทะเล
ฉันดีใจที่มันเป็นเช่นนั้น…ชีวิตก็แค่นี้
เลือกเกิดไม่ได้ แต่ฉันเลือกที่จะตายได้
มีความสุขจัง ชีวิตเล็กๆของฉัน


.....................................................................
เป็นบทความที่เกิดจากความท้อแท้ในชีวิต เมื่อหลายปีก่อน
ความสับสน สภาพสังคมที่ไม่มีอะไรแน่นอน
ชีวิตไร้จุดมุ่งหมาย จนเสียวหนึ่งอยากจะหายไปจากโลกนี้
มุมมองอีกด้านหนึ่งต่อสิ่งที่ใครๆ เรียกว่า "รัก"

เรื่องและภาพประกอบ: cherishmoon

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำนึง ณ ร้านชายชบา


สายฝนพร่ำที่หลั่งหลินลงบนพื้นถนน น้ำฝนที่เจิ่งนองเป็นย่อมๆ

แสงไฟสลัวที่ส่องแสงออกมาจากร้านค้าที่เรียงรายภายในซอย

ซอยเล็กๆนี้เองที่เป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตนักศึกษาบางส่วนในมหาวิทยาลัย

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีฉันอยู่ด้วย


ขณะที่ฉันนั่งอยู่ในร้านกาแฟ ร้านชายชบา โดยผู้คนรอบๆ

ข้างต่างก็พากันดำเนินกิจกรรมกันอยู่ บรรยากาศที่สับสนวุ่นวาย

ฉันค่อยๆ ลี่เสียงเหล่านั้นลง เพื่อจะเข้าสู่โลกส่วนตัวด้วยกลิ่นกาแฟหอมๆ

ที่โพยพุ่งออกมาจากแก้วกาแฟโบราณ ควันที่โชยขึ้นแสดงถึงอุณหภูมิภายในแก้ว

เสียงเพลง jazz ที่คลอมาตามสายลมที่แผ่วเบา อากาศเย็นๆ ชื่นๆ

จากฝนที่ตกลงมาพร่ำๆ ตรึงความคิดและจินตนาการของฉันให้หยุด

บรรยากาศตรงนี้ ฉันนั่งอยู่ด้านหลังร้าน มองเหมอออกไปอย่างไร้จุดหมาย

แล้วฉันก็เริ่มปลดปล่อยความคิดและจินตนาการให้ล่องลอยอย่างอิสระ

ไม่นานนักภาพความทรงจำก็ได้ผุดออกมาเป็นระยะๆ

จากความคิดและจินตนาการ มิตรภาพระหว่างเพื่อน

มิตรภาพระหว่างพี่น้อง เกิดขึ้นที่นี้บ่อยครั้ง บ้างก็สุข บ้างก็เศร้า ปะปนกันไป

นึกถึงก็ทำให้ฉันอดยิ้มเสียไม่ได้


ฮืม.. กาแฟรสชาติดีจังวันนี้ ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ


สายฝนเริ่มที่จะโปรยปรายหนักขึ้นทุกที ทำให้บรรยากาศที่เคยวุ่นวายนั้น

กลับค่อยๆเงียบลงจนได้ยินเสียงเพลงปนเสียงสายฝน

เสียงสายฝนที่ตกลงกระทบหลังคาสังกะสีเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง

โต๊ะหน้าร้านที่ถูกสายฝนสาดจนละอองน้ำรวมตัวกันเป็นหยดน้ำเล็กๆ

ต้นโมกดูสดใสและส่งกลิ่นหอมคลุกเคล้ากับกลิ่นไอดิน

ชั่งเป็นกลิ่นที่แปลกแต่ก็ลงตัวอย่างน่าฉงน

ยิ่งมองดูบรรยากาศรอบๆตัวแล้ว ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหงาจับใจ

ฉันนั่งอยู่ที่ร้านนั้นอย่างคนไร้ที่ไป นั่งมองผู้คนที่เดินหลบสายฝน

บางคนก็ยืนมองสายฝนด้วยอาการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

รอการหยุดของสายฝน แต่ในใจของผู้คนเหล่านั้น กำลังคิดอะไรอยู่

นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้เลย

ตอนนี้ผู้คนในร้านชายชบาที่บางตานั้นเป็นภาพที่ลงตัวในองค์ประกอบ

ต่างคนต่างมีกิจกรรมทำที่แตกต่างกัน แต่ล้วนอยู่ในสถานะที่เหมือนกันคือ

ทุกคนต่างชื่นชอบกาแฟเช่นเดียวกัน อย่างน้อยในโลกใบใหญ่นี้

ก็ยังดีที่ยังมีพื้นที่เล็กๆ ให้กับกลุ่มคนน้อยๆ

ได้มารวมตัวกันทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ

สายฝนที่ตกลงมาหนักขึ้นทุกทีๆ จนกลบเสียงเพลง jazz

ที่คลออย่างแผ่วเบาหายไปกับเสียงสายฝนกระทบหลังคาสังกะสี

บรรยากาศนี้มันชั่งเป็นมีดที่กำลังกีดลงบนหัวใจฉันอย่างช้าๆ และทารุณ

ดั่งประโยคกินใจจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ว่า


"แผลที่ใหญ่ที่สุดในหัวใจคือ การมีตัวตนอยู่ ประโยคที่ออกมาจากใจ

กับการดำรงอยู่ของชีวิตแต่ละวัน ยิ่งบาดซ้ำรอยแผลให้ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น

ความเจ็บปวดรวดร้าว หัวใจที่ถูกบีบให้สลายครั้งแล้วครั้งเล่า

เสียงตะโกนกู่ก้องร้องออกมาว่า

พอแล้ว! พอแล้ว! ฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว"


ข้อความนี้กลายมาเป็นสิ่งตอกย้ำความทรงจำอันแสนปวดร้าวและบาดลึกลง

ไปในเนื้อเยื้อชั้นล่างสุดของหัวใจที่เหี่ยวแห้ง

แล้วชีวิตที่ไร้สิ่งจูงใจจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน

แต่ฉันก็ยังคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสิ่งที่เรียกว่า ความฝัน

ที่ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจที่เหี่ยวแห้งของฉันอยู่และขับเคลื่อนหัวใจ

ร่างกายให้ดำเนินต่อไปในชีวิตประจำวัน


เรื่องและภาพ โดย cherishmoon


เป็นบทความที่เขียนไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว

เพื่อระลึกถึงสถานที่ที่มีคุณค่าทางจิตใจ

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

REVIEW madiFESTO ตอน PUSH
























จากนิทรรศการเทศกาลพิลึกลั่น แถลงการณ์สะท้านโลก
ของเหล่านักศึกษา Media arts and Design
ที่จัด ณ หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ในวันที่ 5-6 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา เลยนำภาพ
บรรยากาศภายในงานนิทรรศการครั้งนี้มาฝากกัน

ภาพ :
Zenan Penn, Shift Click, Fleeb Nick,
Jade Chm, Khan DarthVader, Di Albrand

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

MADifesto : PUSH



เทศกาลพิลึกลั่น แถลงการณ์สะท้านโลก อุบัติขึ้นอีกครั้ง ด้วยศิลปการณ์พิเศษ
ในประเทศที่เทคโนโลยีถูกใช้อย่างไร้สาระและปัญหาสังคมในหลากมิติถูกบิดเบือน
หลอกลวง ซ่อนเร้นอย่างไร้สาระพอๆ กัน ความไร้สาระเหล่านี้จะถูกนำเสนอ
โดยศิลปินและนักออกแบบเพื่อสร้างเป็นปฐมบทสำหรับนักปฏิวัติวัฒนธรรมสื่อศิลปะ
ความคิดขบถ ความคิดแนว ความคิดวิ้ง วิ้ง ทั้งซีเรียส และหน่อมแน้ม ทั้งมีประโยชน์
และไร้ประโยชน์ ทั้งมีตัวตนและไร้ตัวตน ทั้งน่าสนใจและทั้งน่ารังเกียจจะถูกสำแดงร่วมกัน
ด้วยความรักและคิดถึงในหลากรูปแบบ ผ่านศิลปะ งานออกแบบ และสื่อสารสนเทศ
นิทรรศการป่วยคลั่งจะแพร่ระบาด อีกครั้ง กลางใจนครเชียงใหม่

หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ระหว่างวันที่ 5-6 ตุลาคม พ.ศ. 2553 | ตั้งแต่ 09:00 น. ถึงเที่ยงคืน


วิทยากร :

อนุสรณ์ ติปยานนท์ ( ม.ศิลปากร )
นรเศรษฐ์ ไวศยกุล ( ม.นเรศวร )
ปรัชญา พิณทอง ( Gallery Ver)
วรเทพ อรรคบุตร (ศิลปิน/นักวิจารณ์อิสระ)

ดำเนินรายการ : ทัศนัย เศรษฐเสรี


A grotesque festival and an eccentric manifesto again will be introduced
through a unique art scene in the country where technologies are used
senselessly; and social truths are canningly twisted, deceived, and concealed.
The non-sensencial will be revealed by artists and designers to create the
prologue for revolutionary media art based culturalists. The radical and H.I.P
versus the murky-shiny-fooly-brillian ideas; the serious versus the absurd
ideas; the beneficial versus the unfavorable ideas; the visible versus the
invisible ideas; and the stunning versus the disgusting ideas will be all
demonstrated with love, care and pondering about through arts, design,
and information media.

The opening of MAD epidemic festival again will take place at locations
in the inner heart of Chiang Mai City

CHIANGMAI UNIVERSITY ART CENTER
05-06 October 2010 | 09:00am till midnight

For more information: +66 53 944846

info@mediaartsdesign.org www.mediaartsdesign.org

Trailer : madiFESTO



วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Remember of winter : ความทรงจำฤดูหนาว



ลมหนาวจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จากประเทศจีน
พัดลงมาปกคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
และยังปกคลุมพื้นที่ทางจิตใจของคนเรา
กระตุ้นให้นึกย้อนคิดถึงภาพในอดีตที่ผ่านมาในชีวิต

ความหนาวเป็นเหมือนเข็มแหล่ม
ที่เจาะลึกเข้าถึงกระดูกของความรู้สึก
กระตุ้นจุดเล็กๆ ของความทรงจำ
ให้ผลุดออกมาและเล่าเรื่องให้เราฟังอีกครั้ง

บางคนอ้างว่าไปพักผ่อน
บางคนอ้างว่าจะไปท้าลมหนาว
บางคนอ้างว่าไประลึกความหลังสองเรา
แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งที่บอกว่า จะไปหา “ความเหงา”

แน่นอนฤดูหนาวมักจะอยู่กับที่สูง ภูเขา ดอย ภู
ซึ่งที่เหล่านี้ต่างก็มีที่นิยม ที่กลายเป็นกระแสของ Hits
ใครไม่เคยไปถือว่า เชย ถือว่า out

เรื่องที่เล่านั้นกับกลายเป็นตัวกระตุ้น
ความอยากที่จะเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทาง
สร้างประสบการณ์ เพื่อเติมเต็มชีวิต

แล้วทุกวันนี้เรายังหนาว(ใจ) ไม่พออีกหรือ?

Title and Illustration : cherishmoon

http://www.cherishmoon.com
http://cherishmoon.blogspot.com
http://www.facebook.com/cherishmoon

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ละเลมในความรู้สึก(ตัวเอง)

ทุกคนอยากเป็นสุข แต่การจะเป็นอย่างนั้นได้
แรกสุด เขาต้องเข้าใจว่า "ความสุข" คืออะไร

ฌอง-ฌาคส์ รูสโซ

เปิดด้วย คำกล่าวของ ฌอง-ฌาคส์ รูสโซ นักปรัชญาสังคมชาวสวิส
ความสุขคือการปลดปล่อยทุกส่ิง ละทิ้งอดีต ไม่คาดหวังในอนาคต
หยุดเพื่อเริ่ม มองตัวเอง เข้าใจตัวเอง เพราะความสุขเป็นโครงสร้างสังคม
เราต่างแสวงหามัน อย่างปกปิดหรือโดยเปิดเผย และเมื่อค้นพบ
ความสุขแล้ว หล่อเลี้ยงมันและคงมัน ไว้คือความต้องการพื้นฐานของชีวิต
ซึ่งถ้าปราศจากมันแล้ว ชีวิตจะอับเฉา โง่เขลา เหงาหงอย
และไร้ความหมาย ตามความเข้าใจและการตีความ

จากการเดินทางกลับบ้านในปลายเดือนสิงหาคมเป็นช่วงของฤดูฝน
ที่โปรยปราย ทุกอย่างชุ่มฉ่ำ ต้นไม้เขียวขจี จากเส้นทางเชียงใหม่
ปลายทางตะหานหิน ผ่านเส้นทางที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้ได้ต่างออกไป
จากทุกครั้งที่ผ่านมา บรรยากาศรอบๆ ที่ชุ่มฉ่ำจากเม็ดฝนที่โปรยปราย
ทำให้สิ่งแวดรอบริมข้างทางเผยชีวิตชีวาสดใสเป็นพิเศษ
หมอกลอยเอื่อยเรียบช่องเขา ใบไม้พลิ้วไหวยามต้องเม็ดฝน
ลมเย็นที่ผ่านช่องกระจก บทเพลงเนื้อหาและทำนองโดนใจ
แสงแสดยามเย็นช่วงตะวันลับขอบฟ้า ความสลัวบังเกิดเห็นจุด
ของแสงไฟประดิษฐ์ บ้างหยุดนิ่ง บ้างเคลื่อนไหวเป็นเส้นสาย
นั้นทำให้เกิดเป็นความสุขผ่านการละเลมบรรยากาศของโลก
หากมองสิ่งรอบตัวสักนิดก็จะพบว่ารายละเอียดของความสุข
แทรกแฝงตัวอยู่ในทุกสรรพสิ่ง


ขากลับในเช้าวันรุ่งขึ้น ผ่านการเดินทางโดยรถไฟ จากสถานีตะพานหิน
ไปสถานีเชียงใหม่ นั้นทำให้ตัวเองมีเวลาที่จะสังเกตุ คิด ทบทวน
เรื่องราวมากมาย ได้อ่านหนังสือจากรุ่นพี่
ที่ชื่อว่า “อิสระภาพเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่รู้ (Freedom From The Known)"
โดย จ.กฤษณมูรติ


ได้มองธรรมชาติผ่านช่องหน้าต่างรถไฟ เห็นต้นไม้ สัตว์ คน เมือง สังคม
แล้วปล่อยใจไปกับตัวหนังสือและจินตนาการ ...

"ต้องใส่ใจอย่างเต็มที่ต่อโครงสร้างทั้งหมดของความสุขเพลิดเพลิน
มิใช้ตัดความสุขเพลิดเพลินออกไปอย่างที่พระหรือนักบวชกระทำ
แต่ต้องเป็นการมองเห็นความหมายและนัยทั้งหมดของความเพลิดเพลินนั้น
และคุณจะมีปีติสุขอย่างมากในชีวิต" จ.กฤษณมูรติ