วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำนึง ณ ร้านชายชบา


สายฝนพร่ำที่หลั่งหลินลงบนพื้นถนน น้ำฝนที่เจิ่งนองเป็นย่อมๆ

แสงไฟสลัวที่ส่องแสงออกมาจากร้านค้าที่เรียงรายภายในซอย

ซอยเล็กๆนี้เองที่เป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตนักศึกษาบางส่วนในมหาวิทยาลัย

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีฉันอยู่ด้วย


ขณะที่ฉันนั่งอยู่ในร้านกาแฟ ร้านชายชบา โดยผู้คนรอบๆ

ข้างต่างก็พากันดำเนินกิจกรรมกันอยู่ บรรยากาศที่สับสนวุ่นวาย

ฉันค่อยๆ ลี่เสียงเหล่านั้นลง เพื่อจะเข้าสู่โลกส่วนตัวด้วยกลิ่นกาแฟหอมๆ

ที่โพยพุ่งออกมาจากแก้วกาแฟโบราณ ควันที่โชยขึ้นแสดงถึงอุณหภูมิภายในแก้ว

เสียงเพลง jazz ที่คลอมาตามสายลมที่แผ่วเบา อากาศเย็นๆ ชื่นๆ

จากฝนที่ตกลงมาพร่ำๆ ตรึงความคิดและจินตนาการของฉันให้หยุด

บรรยากาศตรงนี้ ฉันนั่งอยู่ด้านหลังร้าน มองเหมอออกไปอย่างไร้จุดหมาย

แล้วฉันก็เริ่มปลดปล่อยความคิดและจินตนาการให้ล่องลอยอย่างอิสระ

ไม่นานนักภาพความทรงจำก็ได้ผุดออกมาเป็นระยะๆ

จากความคิดและจินตนาการ มิตรภาพระหว่างเพื่อน

มิตรภาพระหว่างพี่น้อง เกิดขึ้นที่นี้บ่อยครั้ง บ้างก็สุข บ้างก็เศร้า ปะปนกันไป

นึกถึงก็ทำให้ฉันอดยิ้มเสียไม่ได้


ฮืม.. กาแฟรสชาติดีจังวันนี้ ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ


สายฝนเริ่มที่จะโปรยปรายหนักขึ้นทุกที ทำให้บรรยากาศที่เคยวุ่นวายนั้น

กลับค่อยๆเงียบลงจนได้ยินเสียงเพลงปนเสียงสายฝน

เสียงสายฝนที่ตกลงกระทบหลังคาสังกะสีเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง

โต๊ะหน้าร้านที่ถูกสายฝนสาดจนละอองน้ำรวมตัวกันเป็นหยดน้ำเล็กๆ

ต้นโมกดูสดใสและส่งกลิ่นหอมคลุกเคล้ากับกลิ่นไอดิน

ชั่งเป็นกลิ่นที่แปลกแต่ก็ลงตัวอย่างน่าฉงน

ยิ่งมองดูบรรยากาศรอบๆตัวแล้ว ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหงาจับใจ

ฉันนั่งอยู่ที่ร้านนั้นอย่างคนไร้ที่ไป นั่งมองผู้คนที่เดินหลบสายฝน

บางคนก็ยืนมองสายฝนด้วยอาการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

รอการหยุดของสายฝน แต่ในใจของผู้คนเหล่านั้น กำลังคิดอะไรอยู่

นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้เลย

ตอนนี้ผู้คนในร้านชายชบาที่บางตานั้นเป็นภาพที่ลงตัวในองค์ประกอบ

ต่างคนต่างมีกิจกรรมทำที่แตกต่างกัน แต่ล้วนอยู่ในสถานะที่เหมือนกันคือ

ทุกคนต่างชื่นชอบกาแฟเช่นเดียวกัน อย่างน้อยในโลกใบใหญ่นี้

ก็ยังดีที่ยังมีพื้นที่เล็กๆ ให้กับกลุ่มคนน้อยๆ

ได้มารวมตัวกันทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ

สายฝนที่ตกลงมาหนักขึ้นทุกทีๆ จนกลบเสียงเพลง jazz

ที่คลออย่างแผ่วเบาหายไปกับเสียงสายฝนกระทบหลังคาสังกะสี

บรรยากาศนี้มันชั่งเป็นมีดที่กำลังกีดลงบนหัวใจฉันอย่างช้าๆ และทารุณ

ดั่งประโยคกินใจจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ว่า


"แผลที่ใหญ่ที่สุดในหัวใจคือ การมีตัวตนอยู่ ประโยคที่ออกมาจากใจ

กับการดำรงอยู่ของชีวิตแต่ละวัน ยิ่งบาดซ้ำรอยแผลให้ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น

ความเจ็บปวดรวดร้าว หัวใจที่ถูกบีบให้สลายครั้งแล้วครั้งเล่า

เสียงตะโกนกู่ก้องร้องออกมาว่า

พอแล้ว! พอแล้ว! ฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว"


ข้อความนี้กลายมาเป็นสิ่งตอกย้ำความทรงจำอันแสนปวดร้าวและบาดลึกลง

ไปในเนื้อเยื้อชั้นล่างสุดของหัวใจที่เหี่ยวแห้ง

แล้วชีวิตที่ไร้สิ่งจูงใจจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน

แต่ฉันก็ยังคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสิ่งที่เรียกว่า ความฝัน

ที่ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจที่เหี่ยวแห้งของฉันอยู่และขับเคลื่อนหัวใจ

ร่างกายให้ดำเนินต่อไปในชีวิตประจำวัน


เรื่องและภาพ โดย cherishmoon


เป็นบทความที่เขียนไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว

เพื่อระลึกถึงสถานที่ที่มีคุณค่าทางจิตใจ

ไม่มีความคิดเห็น: